หยุดทุกสายตาให้จับจ้องกับ ค่ายมิตซูบิชิ ได้อีกครั้ง หลังจากอวดโฉมรถยนต์นั่งสุดหรู “มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์” ที่สามารถใช้กับ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85 ได้ สู่ตลาดรถยนต์เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว
หยุดทุกสายตาให้จับจ้องกับ ค่ายมิตซูบิชิ ได้อีกครั้ง หลังจากอวดโฉมรถยนต์นั่งสุดหรู “มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์” ที่สามารถใช้กับ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85 ได้ สู่ตลาดรถยนต์เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว
มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1,800 ซีซี และ 2,000 ซีซี โดดเด่นอยู่ที่เครื่องยนต์ขนาด 1,800 ซีซี ซึ่งเป็นรถยนต์เอฟเอฟวี (Flexible Fuel Vehicle) รุ่นแรกของมิตซูบิชิที่ผลิตและจำหน่ายในไทย
เครื่องยนต์ 1,800 ซีซี ใหม่ได้รับการปรับโครงสร้างทางวิศวกรรมทุกด้านให้รองรับน้ำมันเบนซินและแก๊ส โซฮอล์ทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งอี 85 ที่มีการกัดกร่อนสูง โดยการเปลี่ยนชิ้นส่วนบริเวณผิวสัมผัสกับ อี 85 ให้สามารถทนการกัดกร่อนได้ นอกจากนั้นเครื่องยนต์จะตรวจสอบและปรับอัตราการฉีดจ่ายน้ำมัน และระยะจุดระเบิดเชื้อเพลิงโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้สมรรถนะสูงสุด ซึ่ง ให้กำลังสูงสุด 139 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที ส่วนเครื่องยนต์ขนาด 2,000 ซีซี นั้น สามารถใช้ได้กับน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดเช่นกัน ให้กำลังสูงสุด 154 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 198 นิวตัน-เมตร ที่ 4,250 รอบ/นาที
โดยมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รุ่นนี้ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 9 ของมิตซูบิชิ แลนเซอร์ ถูกออกแบบให้มี รูปโฉมภายนอกที่เร้าใจในแบบรถเก๋งสไตล์สปอร์ต ด้วยส่วนหน้าที่ลาดเอียงลง กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ช่วยเสริมให้รถดูปราดเปรียวและทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมไฟหน้ารูปทรงใหม่ สไตล์ดุดัน ส่วนไฟท้ายด้านหลัง ก็มากับดีไซน์ใหม่ที่กว้างขึ้น และจัดเรียงในแนวเฉียงขึ้นเพื่อให้เห็นชัดเจนกว่าเดิม พร้อมล้ออัลลอยใหม่เช่นกัน
ห้องโดยสารมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมติดตั้งจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ แบบแอลอีดี เรืองแสงสีแดง แสดงข้อมูลหลายแบบ เช่น ความเร็วเฉลี่ยในการขับขี่ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ระบบเตือนการบำรุงรักษา เป็นต้น ระบบช่วงล่างใหม่ โดยด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลัง เป็นแบบมัลติลิงก์พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ช่วยให้รถทรงตัวได้อย่างยอดเยี่ยมและง่ายต่อการควบคุมยิ่งขึ้น ขณะที่มาตรฐานความปลอดภัย เริ่มจากตัวถังนิรภัยแบบ RISE ที่ถูกดีไซน์เพื่อลดการยุบตัวของห้องโดยสารเมื่อเกิดการชน ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด พร้อมเสริมคานเหล็กนิรภัยในประตูที่ถูกออกแบบให้ลดการยุบตัวของประตูเมื่อ เกิดการชนด้านข้างด้วย
แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ มาให้เลือกพร้อมกันถึง 4 รุ่น ในเครื่องยนต์ขนาด 1,800 ซีซี ได้แก่ รุ่น จีแอลเอ็กซ์ ราคา 831,000 บาท รุ่นจีแอลเอส 886,000 บาท และรุ่นจีแอลเอส ลิมิเต็ด 899,000 บาท ส่วนเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี มาในรุ่น จีที 1.034 ล้านบาท โดยเปิดให้จองได้แล้วที่โชว์รูมของมิตซิบูชิทั่วประเทศ 129 แห่งและเปิดขายอย่างเป็นทางการ 16 ต.ค.นี้.
ข้อมูลเทคนิค มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 1.8 MIVEC จีแอลเอส ลิมิเต็ด
มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 4,570/1,760/1,490 มม.
แบบเครื่องยนต์ 4B10 DOHC MIVEC 16 วาล์ว
ความจุกระบอกสูบ 1,798 ซีซี
กำลังสูงสุด 139 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที
ระบบขับเคลื่อน ล้อหน้า
เกียร์ อัตโนมติ 6 จังหวะ
ราคา 899,000 บาท
ที่มา : เดลินิวส์ยานยนตร์
รอยล้อล่าสุด..
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552
มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ คมเข้มเต็มพิกัด
พอร์ชมิวเซียม
พอร์ชมิวเซียม (Porsch Museum) หรือพิพิธภัณฑ์รถพอร์ช ตั้งอยู่บริเวณ porscheplatz 1 เลขที่ 70435 Stuttgart Zuffenharpen ประเทศเยอรมนี เพิ่งเปิดให้บริการประมาณปีกว่า ๆ เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคารถึงอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 9-18.00 น.หยุดทุกวันจันทร์ ค่าเข้าชม คิดอัตราเดียวคนละ 8 ยูโร เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีให้เข้าฟรี แต่ต้องมากับผู้ปกครอง
เมืองสตุดการ์ท เยอรมนี เป็นบ้านของรถยนต์ตระกูลหรูสองยี่ห้อคือเมอร์ซิเดส เบนซ์ และพอร์ช (คนไทยเรียกรถปอร์เช่) ทั้งสองค่ายรถต่างก็มีพิพิธภัณฑ์บอกเล่าตำนานรถยนต์ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปเที่ยวทั้งสองแห่ง แต่เวลาที่พอเจียดมาได้ ทำให้ต้องเลือกเพียงหนึ่ง เลยขอเลือกไปพิพิธภัณฑ์รถพอร์ชแทน เพราะรู้สึกว่าชาตินี้คงจะไม่มีปัญญาซื้อมาขับเป็นแน่ เลยขอไปลูบๆ คลำ ๆ สัมผัสในพิพิธภัณฑ์ก็ยังดี
พอร์ชมิวเซียม (Porsch Museum) หรือพิพิธภัณฑ์รถพอร์ช ตั้งอยู่บริเวณ porscheplatz 1 เลขที่ 70435 Stuttgart Zuffenharpen ประเทศเยอรมนี เพิ่งเปิดให้บริการประมาณปีกว่า ๆ เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคารถึงอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 9-18.00 น.หยุดทุกวันจันทร์ ค่าเข้าชม คิดอัตราเดียวคนละ 8 ยูโร เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีให้เข้าฟรี แต่ต้องมากับผู้ปกครอง
อาคารพอร์ช มิวเซียม นั้นเป็นอาคารที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวออสเตรีย ดูโดดเด่นทันสมัยตามสไตล์รถพอร์ชที่มองครั้งแรกก็รู้สึกโฉบเฉี่ยว ตัวอาคารออกแบบโดยเน้นกระจกให้เกิดแสงเงาทั้งกลางวันและกลางคืน บนหลังคาบางส่วนมีน้ำหล่อไว้ในรางทั้งหลังคา เพื่อลดความร้อน ช่วยประหยัดพลังงานในหน้าร้อน ซึ่งอุณหภูมิสูงใกล้เคียงกับบ้านเรา
เมื่อก้าวเข้าสู่ภายใน ก็จะเจอกับเคาน์เตอร์ซื้อบัตรเข้าชม ร้านกาแฟขนาดใหญ่ ล็อกเกอร์เก็บของ และร้านขายของที่ระลึก ซึ่งเน้นเส้นสายสีดำ ขาวดูดีมาก ๆ เมื่อได้ตั๋วแล้วก็ต้องขึ้นบันไดสู่ด้านบน เพื่อเข้าสู่บริเวณจัดแสดงนิทรรศการ ซึ่งรถยนต์พอร์ชกว่า 80 คัน ตั้งแต่เริ่มตำนานไปจนถึงรถยอดนิยมที่วิ่งกันเกลื่อนทั่วโลก พนักงานของพิพิธภัณฑ์บอกว่า รถทุกคนในนี้ยังวิ่งได้ ไม่ว่าจะรุ่นเก่าแค่ไหน
ในคู่มือบอกว่า พอร์ช มาจากนามสกุลของศาสตราจารย์เฟอร์ดินานด์ พอร์ช ผู้ออกแบบและให้กำเนิด แรกเริ่มนั้น พอร์ชออกแบบมาเพื่อใช้ในสนามแข่ง
ในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ Porsche Idea, Product History และ Thematic Islands ซึ่งเป็นสามส่วนหลักของนิทรรศการ แล้วยังมีส่วนที่จัดแสดงผลงานการออกแบบรถยนต์ของเฟอร์ดินานด์ พอร์ช ก่อนและหลังปี ค.ศ.1948 เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์จะแนะนำให้เดินไปทางซ้าย ซึ่งจะเริ่มจากตำนานการออกแบบของเฟอร์ดินานด์ พอร์ช รถรุ่นโบราณที่ยังคงสวยงามและคลาสิคมาถึงปัจจุบัน บางรุ่นแทบจะหาสภาพดีเหมือนในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้แล้ว
เราได้เห็นรถดับเพลิงของพอร์ช รถโบราณประดับประดาด้วยลายโพแดง จากนั้นก็ค่อย ๆ เข้าสู่วิวัฒนาการของรถพอร์ชเริ่มจากรถที่ใช้ในสนามแข่งขันจากรุ่นแรกถึงรุ่นปัจจุบัน รถดับเพลิง รถที่ใช้ในยุทธการทหาร ฝีมือการออกแบบของเฟอร์ดินานด์ พอร์ช
ในอดีตฮิตเลอร์ ผู้นำนาซี อยากได้รถยนต์ราคาถูกและมีประสิทธิภาพทนทาน เพื่อให้ประชาชนคนธรรมดามีโอกาสซื้อใช้ จึงให้เฟอร์ดินานด์ พอร์ช ซึ่งเป็นวิศวกรและนักออกแบบรถแข่งที่ใช้ความเร็ว ๆ สูง ช่วยออกแบบรถให้ จึงได้ออกมาเป็น โฟลค์สวาเกน รถยนต์ราคาถูกและทนทาน นั่นก็คือ รถเต่า
ในพอร์ชมิวเซียม มีรถเต่ารุ่นแรกที่ออกแบบโดยเฟอร์ดินานด์ พอร์ช จอดโชว์หลายคัน เล่นเอาคนรักรถเต่ายืนน้ำลายหก หลงไหลในความสวยงามและคลาสสิคของรถรุ่นนี้
โซน Porsche Idea เราจะได้เรียนรู้ถึงแนวคิด จินตนาการ การออกแบบเครื่องยนต์ ดีไซน์ที่สมบูรณ์แบบของรถพอร์ชจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
โซน Product History จะเริ่มด้วยตำนานรถแข่งของทีมพอร์ชจากรุ่นต่าง ๆ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่พอร์ช นำมาใช้ รวมถึงถ้วยรางวัลที่พอร์ชได้รับมาจากสนามแข่งขันทั่วโลก ยังมีพอร์ช อีโวลูชั่น 911 ซึ่งเป็นซีรีย์ยอดนิยมของรถพอร์ชให้เราได้ดูแบบใกล้ชิดด้วย รวมไปถึง รุ่น 356 และ917
บอกแล้วว่า ชาตินี้คงไม่มีวาสนาได้เป็นเจ้าของ แค่ได้ไปสัมผัส ได้เรียนรู้เทคโนโลยีที่เฟอร์ดินานด์ พอร์ช สร้างเอาไว้ ก็คุ้มค่าแล้ว
ที่มา : เดลินิวส์
ไกด์อาสา : ปรารถนา ฉายประเสริฐ
BMW 740 LI ยนตรกรรมของเศรษฐี
เชื่อไหมว่าคุณสมบัติอย่างหนึ่งของมหาเศรษฐีส่วนใหญ่คือ ต้องเป็นคนขายาว ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูรถยนต์สุดหรูที่ทำมาเพื่อมหาเศรษฐีโดยเฉพาะ อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู 740 แอลไอ ค่าตัว 8.999 ล้านบาท สังเกตว่าเป็นรถที่มีช่วงความยาวฐานล้อมากกว่ารถทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะต้องเผื่อพื้นที่ให้มหาเศรษฐีขายาวทั้งหลาย มีที่ว่างพอสำหรับการเหยียดแข้งเหยียดขาได้สบาย ๆ
เชื่อไหมว่าคุณสมบัติอย่างหนึ่งของมหาเศรษฐีส่วนใหญ่คือ ต้องเป็นคนขายาว ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูรถยนต์สุดหรูที่ทำมาเพื่อมหาเศรษฐีโดยเฉพาะ อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู 740 แอลไอ ค่าตัว 8.999 ล้านบาท สังเกตว่าเป็นรถที่มีช่วงความยาวฐานล้อมากกว่ารถทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะต้องเผื่อพื้นที่ให้มหาเศรษฐีขายาวทั้งหลาย มีที่ว่างพอสำหรับการเหยียดแข้งเหยียดขาได้สบาย ๆ
สำหรับเรื่องความรวยนี้มันมีผลต่อความยาวของรถจริง ๆ เพราะเมื่อท่านมหาเศรษฐีเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเป็นอภิมหาเศรษฐีขาก็มักจะยาว ขึ้นด้วย ดังนั้นบีเอ็มดับเบิลยู จึงได้จัดการขยายความยาวของฐานล้อให้กับ 740 แอลไอ ตัวใหม่นี้ขึ้นไปอีก 8 ซม. เพื่อรองรับช่วงขาที่มีแนวโน้มว่าจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ ตามระดับความรวย ซึ่งทำให้ บีเอ็มดับเบิลยู 740 แอลไอ กลายเป็นรถระดับซูเปอร์ซาลูน ที่มีพื้นที่ด้านหลังกว้างขวางอลังการที่สุดในบรรดาคู่แข่งรุ่นเดียวกัน
แม้ว่าผลของการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้น จะทำให้ความยาวรวมของ 740 แอลไอ เพิ่มขึ้นเป็น 5.212 ม. จนดูราวกับเป็นเรือไททานิกวิ่งบนบก แต่หลังจากได้ลองสวมวิญญาณเป็นคนขับรถ (หน้าตาดูยังไงก็ไม่ใช่เจ้าของแน่นอน) อภิมหาเศรษฐีอยู่ 4 วันเต็ม ๆ สิ่งที่ผมชอบสุด ๆ ก็คือ 740 แอลไอ เป็นรถเก๋งคันโตที่ควบคุมได้ง่ายมาก ๆ เนื่องจากรถรุ่นนี้ติดตั้งระบบบังคับเลี้ยวทั้ง 4 ล้อ
ดังนั้นแม้จะเป็นทางขึ้นที่จอดรถอันคับแคบ แต่สามารถควบคุมรถรุ่นนี้ได้อย่างคล่องตัว แถมยังมีกล้องมองหลังเพื่อช่วยเพิ่มทัศนวิสัยขณะถอย และกล้องที่กันชนหน้าทั้งสองข้างเพื่อช่วยดูเวลาเลี้ยวรถออกจากซอย
ในเรื่องของพละกำลัง ภายใต้กระโปรงหน้าของ 740 แอลไอ ถูกบรรจุไว้ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตร แบบ 6 สูบแถวเรียง ซึ่งมีเรี่ยวแรงเทียบเท่าฝูงม้า 326 ตัว และมีแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-4,500 รอบ/นาที และด้วยแรงบิดสูงสุดที่เรียกมาใช้ได้ทันใจตั้งแต่รอบต่ำ ๆ นี้เอง จึงทำให้รถรุ่นนี้เป็นรถที่มีอัตราเร่งดีเยี่ยมในทุกย่านความเร็ว โดยสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 6.0 วินาทีเท่านั้น ส่วนเรื่องอัตราการกินน้ำมันถ้าดูข้อมูลของโรงงานแล้วจะอยู่ที่ 10 กม./ลิตร แต่ตอนที่ผมลองขับทำได้แค่ 5-6 กม./ลิตร
ทางด้านความสะดวกสบายของท่านมหาเศรษฐีที่นั่งเอกเขนกอยู่ด้านหลังนั้น เพื่อให้สมกับนิยาม “สุดยอดอัครยนตรกรรมระดับผู้นำ” 740 แอลไอใหม่จึงได้รับการติดตั้งระบบทีวีและดีวีดีด้วยจอมอนิเตอร์ 1 จอ ขนาด 10.2 นิ้ว ในด้านหน้า และ 2 จอขนาด 9.2 นิ้ว ที่สามารถทำงานอิสระต่อกันสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง และระบบเครื่องเสียงระบบเซอร์ราวด์ที่มีลำโพงถึง 16 ตัว ให้เสียงสมจริงเหมือนโรงภาพยนตร์ ซึ่งสามารถควบคุมผ่านระบบไอไดร์ฟใหม่ ที่ติดตั้งทั้งในด้านหน้าและด้านหลัง และเพื่อให้การเดินทางทั้งใกล้และไกล เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย และสะดวกสบาย ที่นั่งด้านหลังสามารถปรับเอนด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งมาพร้อมกับระบบนวดหลัง และระบบเป่าลมเย็น นอกจากนั้นระบบปรับอากาศยังเป็นระบบแยกโซน 4 โซนซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับที่ผู้โดยสารแต่ละท่านต้องการ
สำหรับมหาเศรษฐีท่านไหนที่กำลังมองหา “สุดยอดอัครยนตรกรรม ระดับผู้นำ” ก็ต้องรีบตัดสินใจกันหน่อย เพราะสนนราคาค่าตัว 8.999 ล้านบาท ของ 740 แอลไอนี้ มีแค่ 40 คันเท่านั้น ส่วนใครตัดสินใจช้าปีหน้าฟ้าใหม่ราคาของ 740 แอลไอ จะขยับขึ้นไปเป็น 9.299 ล้านบาท.
ที่มา : เดลินิวส์ยานยนตร์